2. รู้จักคอร์ด และการใช้คอร์ดกีตาร์
ก่อนหน้านี้เราได้รู้จักคอร์ดเบื้องต้นกันมาแล้ว 4 คอร์ดได้แก่ C, Am, Dm, G7 คุณได้รู้ว่าคอร์ดดังกล่าวจับยังไงเล่นยังไงแล้วในเบื้องต้น คราวนี้ผมจะกล่าวลึกลงไปในรายละเอียด ได้แก่โครงสร้าง และการสร้างคอร์ด รวมถึงการตีคอร์ด และการเกากระจายคอร์ดในขั้นสูงขึ้น รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ
ในส่วนที่แล้วเรารู้จักการเรียกชื่อ และการเขียนชื่อคอร์ดต่าง ๆ เรารู้จักคอร์ดเบื้องต้นกันบ้างแล้ว แต่คราวนี้เราจะมาดูรายละเอียด ในด้านโครงสร้างและการสร้างคอร์ด ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดครับแล้วคุณจะรู้ว่าตารางคอร์ดอาจไม่จำเป็นสำหรับคุณก็ได้
คอร์ด คือกลุ่มของโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป ซึ่งมีโครงสร้างต่าง ๆ ดังในตารางนี้
ตารางที่ 1
คอร์ด |
ชื่อคอร์ด |
โครงสร้างของคอร์ด | |
% | mojor | 1 3 5 | |
%m | minor | 1 b3 5 | |
%7 | seventh | 1 3 5 b7 | |
%m7 | minor seventh | 1 b3 5 b7 | |
%6 | sixth |
1 3 5 6 | |
%m6 | minor sixth | 1 b3 5 6 | |
%dim | diminished | 1 b3 b5 6 | |
%+ | augmented | 1 3 #5 | |
%7sus4 | seventh suspension four | 1 4 5 b7 | |
%sus | suspension | 1 4 5 | |
%7+5 | seventh augmented fifth | 1 3 #5 b7 | |
%7-5 | seventh flat five | 1 3 b5 b7 | |
%7-9 | seventh flat nine | 1 3 5 b7 b9 | |
%maj7 | mojor seventh | 1 3 5 7 | |
%m7-5 | minor seventh flat five | 1 b3 b5 b7 | |
%9 | ninth | 1 3 5 b7 9 | |
%m9 | minor ninth | 1 b3 5 b7 9 | |
%9+5 | ninth augmented fifth | 1 3 #5 b7 9 | |
%9-5 | ninth flat five | 1 3 b5 b7 9 | |
%maj9 | major ninth | 1 3 5 7 9 | |
%11 | eleventh | 1 3 5 b7 9 11 | |
%11+ | eleventh augmented | 1 3 5 b7 #11 | |
%13 | thirteenth | 1 3 5 b7 9 13 | |
%13b9 | thirteenth flat ninth | 1 3 5 b7 b9 13 | |
% |
7 |
seventh sixth | 1 3 5 6 b7 |
6 |
|||
% |
9 |
ninth sixth | 1 3 5 6 9 |
6 |
|||
%+7 | augmented seventh | 1 3 #5 b7 | |
%dim7 | diminished seventh | 1 b3 b5 6 b7 | |
%m+7 | minor augmented seventh | 1 b3 #5 b7 | |
%13sus4 | thirteenth suspension four | 1 3 4 5 b7 13 | |
%m (add 9) | minor add ninth | 1 b3 5 9 | |
%(add 9) | add ninth | 1 3 5 9 | |
%9sus | ninth suspension | 1 3 4 5 b7 9 | |
% |
4 | fourth ninth | 1 3 4 5 9 |
9 | |||
%+11 | augmented eleventh | 1 3 #5 b7 11 | |
%7+9 | seventh augmented ninth | 1 3 5 b7 #9 | |
%+4 | augmented fourth | 1 3 4 #5 |
จากตารางข้างบนนี้คุณจะทราบถึงโครงสร้างของคอร์ด ซึ่งตัวเลขในตารางช่องสุดท้ายหมายถึงลำดับของตัวโน๊ตในสเกลเมเจอร์ (ให้ดูในเรื่องสเกล) อาจจะเข้าใจคร่าว ๆ คือการไล่เสียงนั่นเอง เลข 1 คือโน๊ตตัวแรกของสเกล (เรียกว่า root) และ 2, 3, 4, 5 ก็เป็นโน๊ตในลำดับที่ 2, 3, 4, 5 ของสเกลนั่นเอง ลองดูตัวอย่างในสเกล C เมเจอร์ มีการไล่โน๊ตในสเกลเป็น C, D, E, F, G, A, B ดังนั้นโน๊ตตัวที่ 1 = C, 2 = D, 3 = E, 4 = F, 5 = G, 6 = A และ 7 = B
คราวนี้ลองมาดูที่คอร์ด C เมเจอร์ คือ ช่องแรกของตาราง จะเห็นว่าโครงสร้างประกอบด้วย 1 3 5 เมื่อเทียบกับโน๊ตในสเกลแล้วจะได้ว่า C, E และ G ซึ่งก็คือโน๊ตที่เป็นโครงสร้างของคอร์ด C เมเจอร์นั่นเอง คุณลองเช็คดูตำแหน่งที่กดสายกับโน๊ตบนคอกีตาร์ ที่แสดงในรูปในหัวข้อที่แล้ว
เห็นมั๊ยครับไม่ยากเลยคุณแค่จำโครงสร้างของคอร์ดที่สำคัญหรือเห็นบ่อย ๆ กับเข้าใจในเรื่องสเกลนิดหน่อยคุณก็สามารถสร้างคอร์ดเองได้แต่ในตอนนี้ผมจะใช้ตารางแสดงก่อนเพื่อจะได้ดูง่าย ๆ โดยตารางนี้จะแสดงโน๊ตในลำดับต่าง ๆ ของแต่ละสเกล
ตารางที่2
ชื่อคอร์ด | ลำดับของโน๊ตในสเกล |
|||||||||||||||
1 | b3 | 3 | 4 | b5 | 5 | #5 | 6 | b7 | 7 | b9 | 9 | #9 | 11 | #11 | 13 | |
C | C | Eb | E | F | F# | G | G# | A | Bb | B | C# | D | Eb | F | F# | A |
C# (Db) | C# | E | F | F# | G | G# | A | Bb | B | C | D | Eb | E | F# | G | Bb |
D | D | F | F# | G | G# | A | Bb | B | C | C# | Eb | E | F | G | G# | B |
Eb (D#) | Eb | F# | G | G# | A | Bb | B | C | C# | D | E | F | F# | G# | A | C |
E | E | G | G# | A | Bb | B | C | C# | D | Eb | F | F# | G | A | Bb | C# |
F | F | G# | A | Bb | B | C | C# | D | Eb | E | F# | G | G# | Bb | B | D |
F# (Gb) | F# | A | Bb | B | C | C# | D | Eb | E | F | G | G# | A | B | C | Eb |
G | G | Bb | B | C | C# | D | Eb | E | F | F# | G# | A | Bb | C | C# | E |
G# (Ab) | G# | B | C | C# | D | Eb | E | F | F# | G | A | Bb | B | C# | D | F |
A | A | C | C# | D | Eb | E | F | F# | G | G# | Bb | B | C | D | Eb | F# |
Bb (A#) | Bb | C# | D | Eb | E | F | F# | G | G# | A | B | C | C# | Eb | E | G |
B | B | D | Eb | E | F | F# | G | G# | A | Bb | C | C# | D | E | F | G# |
ขั้นแรกนี้ให้ศึกษาจากตารางข้างบนนี้ก่อนซึ่งจะยิ่งทำให้คุณสะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสเกล จากตัวอย่างที่แล้วคือคอร์ด C เมเจอร์ จากตารางแรกพบว่าคอร์ดเมเจอร์ประกอบด้วยโน๊ตลำดับที่ 1 3 5 จากนั้นไปดูตารางที่สองที่คอร์ด C และที่โน๊ตลำดับที่ 1 3 5 จะพบว่า 1= C, 3 = E, 5 = G ก็จะเหมือนกันกับหาจากสเกลนั่นเอง จากนั้นก็ไปหาตำแหน่งโน๊ตที่จะกดบนคอกีตาร์จากรูปในหัวข้อที่แล้ว
ตัวอย่างการสร้างคอร์ด D9 ขั้นแรกคุณต้องไปดูโครงสร้างของคอร์ด 9 (ninth) ว่ามีโน๊ตลำดับเท่าไรบ้างจากตารางที่ 1 ซึ่งจะพบว่าประกอบด้วย 1 3 5 b7 9 จากนั้นมาดูที่ตารางที่ 2 ที่ช่องของคอร์ด D จะได้ว่า 1 = D, 3 = F#, 5 = A, b7 = C และ 9 = E ขั้นต่อไปจึงไปดูที่รูปแสดงโน๊ตบนคอกีตาร์ว่าโน๊ตดังกล่าวอยู่ที่ตำแหน่งใดบนคอกีตาร์บ้างและที่สำคัญ โน๊ตแต่ละตัวต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคือจับสะดวกและได้ครบทุกตัวโน๊ต ซึ่งเราพบว่าอาจจะจัดรูปนิ้วได้ 2 รูปง่าย ๆ คือ
ใน D9 แบบที่ 1นั้นอาจจะละเส้น 6 ไว้ก็ได้สำหรับในรูปตัว T คือการใช้นิ้วโป้งช่วยในการจับคอร์ด โดยการกำรอบคอกีตาร์ให้นิ้วโป้งอ้อมมากดสายที่ 6 ได้ ลองฝึกดูครับ เทคนิคนี้สามารถใช้กับการจับคอร์ด F ได้ด้วยคือไม่ต้องทาบทั้ง 6 เส้นดังตัวอย่างนี้
่ จะเห็นว่าคุณทาบเพียง 2 สายเท่านั้นง่ายกว่าเยอะครับ การใช้นิ้วโป้งช่วยจับคอร์ดนั้นมีประโยชน์มากลองฝึกดูครับ แล้วลองปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ใช้กับการเล่นกีตาร์ของคุณดู
สัญลักษณ์เส้นโค้ง ๆ ที่เห็นหมายถึงการทาบสายด้วยนิ้วเดียวนั่นเองดังเช่นใน D9 แบบที่สอง คุณใช้นิ้วชี้ทาบสาย 5 เส้นคือเส้น 1, 2, 3, 4 และ 5 แล้วใช้นิ้วกลางกดสาย 1 ที่ช่อง 8
ดังนั้นคุณจะเห็นว่าไม่ยากเลยในการสร้างคอร์ดกีตาร์ เพียงแค่คุณจำโครงสร้างของคอร์ดหลัก ๆ มีความเข้าใจในเรื่องโน๊ตดนตรีเล็กน้อย รู้จักการไล่เสียงหรือสเกลบ้าง และรู้ตำแหน่งโน๊ตต่าง ๆ บนคอกีตาร์ เท่านี้คุณสามารสร้างคอร์ดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยกับสเกลอาจจะใช้ตารางที่ 2 ในการหาโน๊ตก่อนก็จะสะดวกดีครับ
คอร์ดพื้นฐาน (Open Position Chord)
คราวนี้เราจะมาดูซิว่ารูปคอร์ดพื้นฐานมีอะไรบ้าง ที่เรียกว่า open position chord เนื่องจากคอร์ดพื้นฐานนั้นจะเป็นการจับคอร์ดในรูปที่ง่ายและมีสายเปิดหรือสายที่ไม่ต้องกดมากที่สุด คืออาจจะกดไม่เกิน 3 สายก็จะได้คอร์ดออกมาต่อไปจะแสดงคอร์ดพื้นฐานใน key ต่าง ๆ
1. คอร์ด C
2. คอร์ด G, G7
3. คอร์ด D, D7, Dm
4. คอร์ด A, A7, Am
5. คอร์ด E, Em
เพื่อน ๆ คงเคยได้ยินหรือรู้จักคอร์ดทาบกันมาบ้างแล้วนะครับ คอร์ดทาบคือการที่เราใช้นิ้วใดนิ้วหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องเป็นนิ้วชี้เสมอไป) พาดทับสายบนฟิงเกอร์บอร์ดตั้งแต่ 2 สายขึ้นไป ถ้าพาด 3 สายเรียกว่า half bar เป็นต้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจรู้จากคอร์ดทาบจากคอร์ด F และ Bb เป็นต้นและก็จะรู้สึกว่ามันยากที่จะเล่นและพยายามจะหลีกเลี่ยงมัน แต่คราวนี้เราจะมาดูประโยชน์ของ bar chord ว่ามันให้อะไรกับคุณบ้าง
จากหัวข้อเรื่องโน๊ตบนคอกีตาร์ คุณได้ทราบแล้วว่าเมื่อเราเลื่อนกดเฟร็ตที่สูงขึ้น 1 ช่อง เสียงจะสูงขึ้นครึ่งเสียง (#) และเมื่อเรากดต่ำลงมา 1 ช่อง เสียงจะลดลงครึ่งเสียง (b) เช่นกัน ดังนั้นเราจะใช้ประโยชน์กับความรู้นี้ในการสร้างคอร์ดต่าง ๆ จากคอร์ดทาบ ในขั้นแรกนี้ลองมาดูรูปคอร์ดหลัก ๆ ที่เป็นคอร์ดพื้นฐานกันก่อนนะครับ เช่น คอร์ด E และ A
คุณลองสังเกตดูลักษณะการจับคอร์ดของ E กับ F หรือ A กับ Bb (ลองดูจากตารางคอร์ดหรือหนังสือเพลงทั่วไป) เมื่อคุณสังเกตดี ๆ แล้วก็จพบว่าจริง ๆ แล้ว คอร์ด E กับ F และ A กับ Bb(A#) นั้นฟอร์มการจับคอร์ดเหมือนกันทุกประการเลย เพียงแต่ F , Bb นั้นเกิดจาการเลื่อนฟอร์มการวางนิ้วของ E , A มา 1 ช่อง (หมายถึงเลื่อน 1 ช่อง ทั้ง 6 เส้น) ซึ่งคือเลื่อนสูงมาครึ่งเสียง ดังนั้นจาก E จะกลายเป็น F (เสียง F สูงกว่า E ครึ่งเสียง) และจาก A เป็น Bb (เสียง Bb สูงกว่า A ครึ่งเสียง)
ในการจับคอร์ด E หรือ A นั้นเราไม่ได้ทาบแต่ที่ nut หรือสะพานสายบนนั้นเองที่เสมือนกับนิ้วเราทาบอยู่ คุณลองจินตนาการดูนะครับ เมื่อคุณเลื่อนฟอร์มนิ้วที่จับคอร์ดนั้นลงมา 1 ช่องเสียงจะสูงขึ้นครึ่งเสียง แต่ว่า nut ไม่สามารถเลื่อนตามนิ้วเราลงมาได้ดังนั้นเราจึงต้องใช้นิ้วเราทาบบนฟิงเกอร์บอร์ด เพื่อทำหน้าที่แทน nut นั่นเอง
เอาล่ะครับเมื่อคุณเลื่อนฟอร์มนิ้วมา 1 ช่องจาก E และ A ตอนนี้คุณจะได้คอร์ด F และ Bb (A#) ต่อไปคุณลองเลื่อนฟอร์มนิ้วทั้งหมดไปอีก 1 ช่องสิครับ ตอนนี้คุณจะได้คอร์ดอะไร ใช่แล้วครับเสียงคุณจะสูงมาอีกครึ่งเสียง ดังนั้นคอร์ด F จะกลายเป็น F# และ คอร์ด Bb จะกลายเป็น B นั่นเอง แล้วถ้าคุณเลื่อนขึ้นไป 5 ช่องล่ะ เสียงจะสูงขึ้น 2 1/2 เสียง หรือ 2 เสียงครึ่ง ถ้าเริ่มจากฟอร์มพื้นฐานคอร์ด E จะได้ว่า E - F - F#(Gb) - G - G#(Ab) - A คุณก็จะได้คอร์ด A แล้วถ้าเริ่มจากฟอร์มพื้นฐานคอร์ด A จะได้ว่า A - A#(Bb) - B - C - C# - D ซึ่งคุณก็จะได้คอร์ด D นั่นเอง ดูจาก 2 รูปข้างบนคุณก็แค่วางฟอร์มนิ้วตามรูปและเคลื่อนฟอร์มนิ้วทั้งหมดขึ้นลงตามฟิงเกอร์บอร์ด (จุดดำในรูปคือตำแหน่งเส้นและช่องที่ต้องกด)
คราวนี้ลองมาดูรูปคอร์อื่น ๆ บ้างเช่น Em, Am ; E7, A7 เราสามารถใช้หลักการเดียวกันเพื่อสร้างคอร์ดอื่น ๆ จากการใช้การทาบและเลื่อนฟอร์มนิ้วไปบนฟิงเกอร์บอร์ด เช่นตัวอย่างข้างล่างนี้ เป็นการเลื่อนฟอร์มนิ้วไป 1 ช่องหรือทาบที่ช่องที่ 1 นั่นเอง
แล้วถ้าเลื่อนฟอร์มนิ้วไปอีก 1 ช่องหรือทาบที่ช่องที่ 2 ล่ะครับลองมาดูกันว่าจะได้ผลยังไง
คงจะพอเข้าใจแล้วนะครับ และคุณสามารถใช้หลักการนี้ได้กับคอร์ดทุกประเภท ไม่ใช่แค่คอร์ด E กับ A เพียงแต่อยู่บนหลักการว่าต้องเลื่อนเป็นจำนวนช่องเท่ากันทั้ง 6 เส้น ถ้าเลื่อนสูงขึ้นหรือต่ำลง 1 ช่องก็ต้องสูงขึ้นหรือต่ำลง 1 ช่องเท่ากันทั้ง 6 เส้น
ประโยชน์ของมันก็คือ คุณสามารถหาคอร์ดต่าง ๆ ได้มากมาย โดยการจำคอร์ดพื้นฐานหลัก ๆ เพียงไม่กี่รูปแบบ หรือคุณสามารถเปลี่ยน key ได้ง่าย ๆ เช่นเพลงนี้เสียงอาจจะต่ำไปสำหรับคุณ คุณก็อาจจะเลื่อนฟอร์มการจับคอร์ดทั้งหมดมา 2 ช่อง เพื่อให้เสียงสูงขึ้น 1 เสียงเต็มโดยการใช้การทาบหรือ bar สายมาช่วยเสมือนแทน nut และด้วยเหตุนี้เองจึงมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ช่วยในการเปลี่ยน key ดนตรี โดยที่คุณไม่ต้องเปลี่ยนคอร์ดเลย ทำให้การเปลี่ยน key ทำได้ง่ายขึ้นมาก
เทคนิคในการจับคอร์ดทาบอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือการใช้นิ้วโป้งยันกับกึ่งกลางด้านหลังคอกีตาร์ มันจะช่วยเพิ่มแรงกดให้คุณจับคอร์ทาบได้โดยไม่บอด และอีกวิธีคือใช้นิ้วที่ว่างช่วยกดทับอีกทีทำให้แรงกดเพิ่มขึ้นซึ่งจะใช้ได้กับคอร์ดที่จับแบบ Bb7 โดยเราจะเหลือนิ้ว 1 นิ้วสามารถจะใช้มาช่วยกดทับนิ้วที่ทาบได้อีกแรงนึง
จากส่วนที่แล้วการที่เราจะเปลี่ยนคอร์ดจาก E, A เป็น F, Bb นั้นหมายถึงคุณต้องใช้คอร์ดทาบตลอด สำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งเจ็บและเมื่อยด้วย ดังนั้นคุณอาจจะใช้ capo (คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียด) เพื่อทำหน้าที่แทน nut หรือการกดทาบนิ้วของคุณ เช่นเมื่อคุณคาด capo (อ่านว่า คาโป้) ที่ช่อง 1 ก็เสมือนว่าคุณเลื่อน nut มาอยู่ช่อง 1 หรือคุณกดทาบที่ช่อง 1 แล้วจากนั้นคุณก็จับคอร์ด E, A ตามปกติ แต่เสียงที่ได้จะเป็น F, Bb แทน โดยคุณไม่ต้องใช้นิ้วทาบให้เมื่อย ต่อไปนี้เป็นตารางแสดงการเปลี่ยน key ด้วยคาโป้
คอร์ดที่จับ |
ช่องที่คาดคาโป้ |
||||||||||
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | |
C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B |
C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C |
D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) |
D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D |
E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) |
F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E |
F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F |
G | G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) |
G# (Ab) | A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G |
A | A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) |
A# (Bb) | B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A |
B | C | C# (Db) | D | D# (Eb) | E | F | F# (Gb) | G | G# (Ab) | A | A# (Bb) |
บางคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะกับการเล่นกีตาร์ไฟฟ้า เพลงร็อค เฮฟวี่เมทัล มักจะพบคอร์ดประเภทนี้บ่อยมาก เนื่องจากให้เสียงที่หนักแน่นสะใจดี จึงมักใช้กับเพลง pop rock หรือ heavy metal เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโครงสร้างของ power chord นั้นง่ายมากครับ ลองย้อนกลับไปดูโครงสร้างของคอร์ดประเภทเมเจอร์ในส่วนที่แล้ว จะพบว่าคอร์ดเมเจอร์ประกอบด้วยโน๊ตตัวที่ 1 3 และ 5 ของสเกล โดยที่ power chord จะตัดโน๊ตตัวที่ 3 ออกไปจึงเหลือเพีงตัวที่ 1 และ 5 เนื่องจากโน๊ตตัวที่ 3 เป็นตัวที่แสดงความเป็นเมเจอร์หรือไมเนอร์ (ถ้าโน๊ตตัวที่ 3 ติด b จะกลายเป็นคอร์ไมเนอร์ ดูรายละเอียดในเรื่องโครงสร้างคอร์ด) ดังนั้น power chord จึงไม่แสดงความเป็นเมเจอร์หรือไมเนอร์
ต่อไปเรามาดูวิธีการจับคอร์ดประเภทนี้นะครับ โดยปกติจะมีอยู่หลายแบบ คือแบบ power chord ที่โน๊ต root หรือโน๊ตตัวแรกของสเกล (ก็คือโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ดแหละครับ เช่น คอร์ด C โน๊ต root ก็คือ C) อยู่บนสาย 6 สาย 5 หรือสาย 4 หรือ power chord แบบจับ 2 เส้น แบบสองเส้นเปิด แบบจับ 3 เส้นและแบบ 3 เส้นเปิด ลองมาดูรายละเอียดกันครับ
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนเส้นที่เป็น root หรือโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ดจะแสดงด้วยรูปสี่เหลี่ยม สัญลักษณ x หมายถึงเส้นที่ไม่ต้องเล่น และ o สายเปิด เวลาดีดจะดีดเฉพาะเส้นที่กดคือ 2 - 3 สาย และรวมสายเปิดด้วย
power chord แบบจับ 2 เส้น มีประโยชน์มากเนื่องจากคุณสามารถเลื่อนฟอร์มนิ้วไปได้ตลอดทั้งฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อเปลี่ยนคอร์โดยอาศัยหลักที่ได้รู้มาแล้วในหัวข้อเรื่อง bar chord
- แบบที่ root อยู่บนเส้นที่ 6, 5 และ 4
power chord แบบจับ 2 เส้นเปิด ซึ่ง root ของคอร์ดจะอยู่บนเส้นที่เปิดหรือไม่ได้กดนั่นเองโดยจะมีหลัก ๆ อยู่เพียง 3 คอร์ดคือ E5, A5 และ D5 (เลข 5 คือ power chord ซึ่งประกอบด้วย root หรือโน๊ตลำดับที่ 1 และโน๊ตลำดับที่ 5 ของสเกล)
- แบบที่ root อยู่บนเส้นที่ 6, 5 และ 4
power chord แบบจับ 3 เส้น เช่นเดียวกับ แบบกด 2 เส้นคุณสามารถเลื่อนฟอร์มนิ้วขึ้นลงได้ตลอดคอกีตาร์
- แบบที่ root อยู่บนเส้นที่ 6, 5 และ 4
power chord แบบจับ 3 เส้นเปิด root เป็นสายเปิด 1 สาย เช่นเดียวกับแบบ 2 สาย คือจะมีหลัก ๆ อยู่เพียง 3 คอร์ดคือ E5, A5 และ D5
- แบบที่ root อยู่บนเส้นที่ 6, 5 และ 4
การตีคอร์ดหรือ strumming เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเล่นกีตาร์หมายถึงการดีดสายทั้ง 6 หรือบางสาย ของกีตาร์ในเวลาเดียวกันอาจจะดีดด้วยปิค หรือ นิ้วมือก็ได้ในทิศขึ้นหรือลงตามจังหวะ ซึ่งไม่ได้กำหนดว่ามีกี่แบบเพียงแต่ต้องดีดให้สอดคล้องกับจังหวะของเพลง ซึ่งในส่วนนี้ผมจะกล่าวถึงสัญลักษณ์และรูปแบบต่าง ๆ ในการตีคอร์ดเบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางให้คุณได้ฝึกและศึกษาการตีคอร์ดในแบบอื่น ๆ ต่อไป
ก่อนอื่นผมขอแนะนำสัญลักษณ์ที่ใช้ในการตีคอร์ดก่อนนะครับ ได้แก่เครื่องหมายบอกถึงจังหวะความสั้นยาวของการตีคอร์ด ซึ่งจะคล้ายกับโน๊ตสากลนั่นเองลองดูกันครับ
สัญลักษณ์ | ความหมาย |
เหมือนกับโน๊ตตัวกลม หรือมีค่าเป็น 4 จังหวะ (time signature 4/4) | |
เหมือนกับโน๊ตตัวขาวประจุด หรือมีค่าเป็น 2+1 = 3 จังหวะ | |
เหมือนกับโน๊ตตัวขาว หรือมีค่าเป็น 2 จังหวะ | |
เหมือนกับโน๊ตตัวดำ หรือมีค่าเป็น 1 จังหวะ | |
หรือเมื่อเขียนหลายตัวติดกัน | เหมือนกับโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น หรือมีค่าเป็น 1/2 จังหวะ |
เป็นการดีดเสียงบอด (ดูรายละเอียดในเรื่องเทคนิคการเล่น) |
นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับทิศทางในการดีดกีตาร์คือการดีดขึ้นลงนั่นเอง
สัญลักษณ์ | ความหมาย |
ดีดลงจากสาย 6 ไปหาสาย 1 |
|
ดีดขึ้นจากสาย 1 ไปหาสาย 6 |
ต่อไปเรามาดูรูปแบบการตีคอร์ดแบบต่าง ๆ และลองศึกษาการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ดูนะครับ
แบบแรกเป็นแบบพื้นฐานก่อนนะครับ | |
ดีดลง 4 จังหวะ ต่อ 1 ห้อง | |
แบบที่สองคล้ายกับแบบแรกแต่ดีดสลับขึ้นลง | |
ดีดลง 1 จังหวะ สลับกับดีดขึ้น 1 จังหวะ |
ทั้ง 2 แบบข้างต้นนั้นเป็นการแสดงในแบบของระบบบรรทัด 5 เส้น ต่อไปเราจะมาดูตัวอย่างการตีคอร์ดในรูปแบบอื่น ๆ โดยแสดงในระบบ tablature ดูบ้าง
ตัวอย่างที่ 1 | |
ขั้นตอนการเล่น 1. ดีดลงนับ 1 จังหวะ ตวัดมือขึ้นโดยไม่ต้องดีด 2.ดีดลงนับ 1/2 จังหวะตวัดมือดีดขึ้นนับ 1 จังหวะ ตวัดมือลงโดยไม่ต้องดีด 3. ดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 4. ดีดลงนับ 1 จังหวะ รวมทั้งสิ้น 4 จังหวะ |
|
ตัวอย่างที่ 2 | |
ขั้นตอนการเล่น 1. ดีดลงนับ 1 จังหวะ 2. ดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 3. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ 4. รวมทั้งสิ้น 2 จังหวะ |
|
ตัวอย่างที่ 3 | |
ขั้นตอนการเล่น 1. ดีดลงนับ 1 จังหวะ ตวัดมือขึ้นโดยไม่ดีด 2. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 3. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 4. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 5. รวมทั้งสิ้น 4 จังหวะ |
|
ตัวอย่างที่ 4 | |
ขั้นตอนการเล่น 1. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ และดีดลงนับ 1/2 จังหวะ 2. ดีดลงโดยทำเสียงบอด อุดเสียงด้วยสันมือขวานับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 3. ดีดลงนับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 4. ดีดลงโดยทำเสียงบอด อุดเสียงด้วยสันมือขวานับ 1/2 จังหวะ และดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 5. รวมทั้งสิ้น 4 จังหวะ |
|
ตัวอย่างที่ 5 | |
ขั้นตอนการเล่น 1. ดีดลงนับ 1 จังหวะ ตวัดมือขึ้นโดยไม่ต้องดีด 2.ดีดลงโดยทำเสียงบอด อุดเสียงด้วยสันมือขวานับ 1/2 จังหวะ 3. ดีดขึ้นนับ 1 จังหวะ ตวัดมือลงโดยไม่ต้องดีด 4. ดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ 5. ดีดลงโดยทำเสียงบอด อุดเสียงด้วยสันมือขวานับ 1/2 6. ดีดขึ้นนับ 1/2 จังหวะ รวมทั้งสิ้น 4 จังหวะ |
เวลานับให้นับ 1- และ - 2 -และ .....นะครับ ลองฝึกดูหัดจากช้า ๆ ก่อนสักพักคุณจะคล่องเองแหละครับแรก ๆ อาจจะรู้สึกเก้ง ๆ ก้าง ๆ บ้าง อย่าเพิ่งท้อก็แล้วกัน
นอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้วคุณสามารถจะสร้าง pattern การตีคอร์ดได้เองโดยให้เข้ากับจังหวะของเพลงนั้น ๆ และคุณสามารถหารูปแบบการตีคอร์ดอื่น ๆ ได้จากการฟังเพลงและแกะเพลงให้มาก ๆ หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะพอเข้าใจและรู้จักกับการตีคอร์ดมากขึ้นนะครับ ดังนั้นต่อไปเราจะเริ่มฝึกการเกา...กีตาร์ที่หลาย ๆ คนชอบมากกัน
หมายเหตุ : เครื่องหมาย % เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเล่นเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้ ก็คือเล่นแบบเดียวกันกับห้องที่แล้ว
2.3 การเกาหรือกระจายคอร์ด (arpeggio)
การเกากีตาร์หรือที่เรียกว่า picking เป็นอีกสไตล์ในการเล่นกีตาร์ที่มีสเน่ห์มาก แต่ก่อนที่คุณจะฝึกที่จุดนี้คุณควรจะต้องฝึกการตีคอร์ดให้ชำนาญ ทั้งการเปลี่ยนคอร์ดจังหวะการดีดที่สัมพันธ์กัน
ในขั้นแรกผมจะพูดถึงการวางนิ้วก่อนนะครับเพราะว่าสายกีตาร์มี 6 สายแต่เรามี 5 นิ้วดังนั้นเราจึงต้องรู้หน้าที่ของแต่ละนิ้วก่อนดังนี้คือ
- นิ้วโป้ง ซึ่งถนัดในการดีดสายลง จะควบคุมสายเบส (bases) ทั้งหมด คือสาย 4, 5 และ 6
- นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง จะถนัดในการเกี่ยวสายขึ้น ดังนั้นจะควบคุม 3 สายล่าง (soprano)โดยที่ นิ้วชี้จะคุมสายที่ 3 นิ้วกลางจะคุมสายที่ 2 และนิ้วนางคุมสายที่ 1ส่วนนิ้วก้อยจะไม่ใช้ในการเกากีตาร์แต่อาจจะใช้ยันกับตัวกีตาร์เพื่อให้มือมั่นคงเป็นต้น
แต่ทั้งนี้ไม่ใช่กฎตายตัวว่าคุณต้องใช้นิ้วโป้งดีดสายเบส หรือนิ้วชี้ดีดสาย 3 เสมอไปคุณอาจจะเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสมของเพลง แต่หลัก ๆ ก็ควรจะฝึกแบบนี้ก่อน
การวางมือในท่าเตรียมพร้อมนั้นคือ
1. วางนิ้วโป้งบนสายเบสเส้นใดเส้นหนึ่ง (ส่วนมากคือเบสของคอร์ดแรกของเพลง)
2. วางนิ้วชี้ไว้ใต้สาย 3 เพื่อพร้อมจะเกี่ยวขึ้น
3. วางนิ้วชี้ไว้ใต้สาย 2 เพื่อพร้อมจะเกี่ยวขึ้น
4. วางนิ้วชี้ไว้ใต้สาย 1 เพื่อพร้อมจะเกี่ยวขึ้น
5. นิ้วก้อยอาจจะปล่อยไว้ลอย ๆ หรือแตะไว้กับตัวกีตาร์เพื่อให้การวางนิ้วมั่นคงขึ้น
ขั้นตอนการเกากีตาร์มักจะเริ่มด้วยสายเบสก่อน ดังรูปที่ 1 และ 2 เป็นการใช้นิ้วโป้งหรือ P (หรือ T) จึงตามด้วยสายอื่นตามมา (3 สายล่าง)ด้วย 3 นิ้วที่เหลือ คือนิ้วชี้ i (หรือ 1) , นิ้วกลาง m (หรือ 2), และนิ้วนาง a (หรือ 3) ดังนั้นขั้นแรกผมจะแนะนำให้คุณรู้จักเบสของแต่ละคอร์ดก่อน ซึ่ง โน๊ตเบสของคอร์ดปกติก็คือ root หรือโน๊ตที่เป็นชื่อคอร์ดนั่นเองเช่นคอร์ด C เบสก็คือ C ส่วนตำแหน่งคุณสามารถหาจากรูปแสดงโน๊ตบนฟิงเกอร์บอร์ดที่อยู่บนสายเบสคือสาย 4, 5 และ 6 โดยอาจจะสรุปได้ดังนี้
ถ้าเล่นคอร์ดที่ขึ้นด้วยเบส E, G ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 6
ถ้าเล่นคอร์ดที่ขึ้นด้วยเบส A, B และ C ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 5
ถ้าเล่นคอร์ดที่ขึ้นด้วยเบส D, F ให้ดีดสายเบสเส้นที่ 4 (คอร์ด F ถ้าใช้ทาบอาจเล่นเบสที่สาย 6)
อย่างไรก็ตามอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามรูปคอร์ดที่คุณจับ ดังนั้นจะให้ดีที่สุดคุณจึงควรจะรู้ว่าเบสของคอร์ดนี้คืออะไรอยู่ที่ตำแหน่งไหนของนิ้วเมื่อจับคอร์ดดังกล่าวแล้วจะถูกต้องที่สุด
ต่อไปเราจะมาดูสัญลักษณ์ทาง picking กันก่อนคร่าว ๆ จาก part 2 คุณได้ทราบถึงสัญลักษณ์ของมือซ้ายแล้วผมจะทบทวนอีกทีคือ
- นิ้วโป้ง แทนด้วย T (P)
- นิ้วชี้ แทนด้วย 1 (i)
- นิ้วชี้ แทนด้วย 2 (m)
- นิ้วชี้ แทนด้วย 3 (a)
ซึ่งเป็นระบบ Right Hand Diagram และเหมาะสำหรับฝึกในเบื้องต้นโดยจะบอกเลยว่าใช้นิ้วไหนดีดสายไหน ลองมาดู pattern การเกาในแบบแรกดูก่อนนะครับ
รูปแบบการเกา(สายกีตาร์)แบบต่าง ๆ | วิธีการเล่น |
1.
นิ้วโป้งดีดเบสของคอร์ด 2. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 3. นิ้วกลางเกี่ยวสาย 2 4. นิ้วนางเกี่ยวสาย 1 5. นิ้วกลางเกี่ยวสาย 2 6. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 7. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
นิ้วโป้งดีดเบสของคอร์ด 2. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 3. นิ้วกลางเกี่ยวสาย 2 4. นิ้วนางเกี่ยวสาย 1 5. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
นิ้วโป้งดีดเบสของคอร์ด 2. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 3. นิ้วกลางเกี่ยวสาย 2 4. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 5. นิ้วนางเกี่ยวสาย 1 6. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 7. นิ้วกลางเกี่ยวสาย 2 8. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 7. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
ดีดเบสด้วยนิ้วโป้ง 2. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 3. นิ้วกลางและนิ้วนาง เกี่ยวสาย 2 และ 1 ตามลำดับ 4. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 5. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
ดีดเบสด้วยนิ้วโป้ง 2. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 3. นิ้วกลางและนิ้วนาง เกี่ยวสาย 2 และ 1 ตามลำดับ 4. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 5. นิ้วกลางและนิ้วนาง เกี่ยวสาย 2 และ 1 ตามลำดับ 6. นิ้วชี้เกี่ยวสาย 3 7. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
ดีดเบสด้วยนิ้วโป้ง 2. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 3. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 4. เปลี่ยนดีดเบสสลับ 5. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 6. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 7. เปลี่ยนคอร์ด |
|
1.
ดีดเบสด้วยนิ้วโป้ง 2. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 3. เปลี่ยนดีดเบสสลับ 4. เกี่ยวสาย 3,2 และ 1 ขึ้นพร้อมกันด้วยนิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางตามลำดับ 5. เปลี่ยนคอร์ด |
อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างมาเป็นเพียงแค่การเกาแบบพื้นฐานเท่านั้น ยังมีรูปแบบการเกากีตาร์อีกมากมายเหลือเกิน ซึ่งคุณอาจจะศึกษาจากเพลงต่าง ๆ หรือตำราอื่น ๆ ซึ่งผมจะได้แนะนำการเกาในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งยกเพลงตัวอย่างและ sound clip มาให้ในภายหลัง
คุณควรจะพยายามฝึกหัดให้คุ้นกับจังหวะการใช้นิ้วต่าง ๆ ในการเกี่ยวหรือดีดสายให้สัมพันธ์กับจังหวะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไปเมื่อคุณจะหัดแกะเพลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความขยันในการฝึกฝนและศึกษาเพลงต่าง ๆ
เป็นอีกสีสันหนึ่งในการเกากีตาร์คือมีการสลับเบสในการเกา 1 คอร์ดมีการส่งเบสเพื่อเปลี่ยนคอร์ดเป็นต้นการเล่นสลับเบสก็คือการดีดเบสสลับระหว่างเบสหลักหรือโน๊ตที่เป็น root ของคอร์ดกับเบสซึ่งเป็นโน๊ตลำดับที่ 5 ของสเกลเมเจอร์ ในการไล่โน๊ตปกติเช่น คอร์ด C เบสหลักคือ C หรือสาย 5 ช่องที่ 3 จะหาเบสสลับโดยนับจากโน๊ต C ไป 5 ตัว คือ C - D - E - F - G จะได้ว่าโน๊ต G คือ เบสสลับของคอร์ด C นั่นเอง ซึ่งอยู่บนสาย 6 ช่องที่ 3 ดังนั้นเมื่อคุณจะเล่นเบสสลับกับคอร์ C คุณจะต้องจับคอร์ด C ในอีกแบบหนึ่งคือ
อีกตัวอย่างมาดูคอร์ด A บ้าง เบสหลัก คือ A หรือสายเปล่าเส้นที่ 5 หาเบสสลับโดยนับไป 5 ตัวโน๊ต A - B - C - D - E จะได้ว่า เบสสลับของคอร์ด A คือ E หรือสายเปล่าส้นที่ 6 ดังนั้นสรุปเบสสลับของแต่ละคอร์ดได้ว่า
เบส |
คอร์ด |
|||||||||||||
เบสหลัก | C | สาย 5 ช่อง 3 | D | สายเปล่า เส้น 4 | E | สายเปล่า เส้น 6 | F | สาย 4 ช่อง 3 หรือ สาย 6 ช่อง 1 |
G | สาย 6 ช่อง 3 | A | สายเปล่า เส้น 5 | B | สาย 5 ช่อง 2 |
เบสสลับ | G | สาย 6 ช่อง 3 | A | สายเปล่า เส้น 5 | B | สาย 5 ช่อง 2 | C | สาย 5 ช่อง 3 | D | สายเปล่า เส้น 4 | E | สายเปล่า เส้น 6 หรือ สาย 4 ช่อง 2 |
F# | สาย 6 ช่อง 2 หรือ สาย 4 ช่อง 4 |
ในส่วนต่อไปผมจะได้แนะนำถึงเทคนิคพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งของมือซ้ายและมือขวาในการเล่นกีตาร์ ในหน้าที่ 3