ในส่วนนี้เราจะมากล่าวถึงความรู้เบื้องต้นต่าง ๆ เช่นกีตาร์ทำงานอย่างไร เวลาเล่นเขาเล่นกันบังไง สำหรับผู้ที่เริ่มเล่นใหม่ ๆ น่าจะศึกษาส่วนนี้ด้วยนะครับ จะได้เป็นพื้นฐานเพื่อไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวคุณเอง
1.ที่มาหรือหลักการของเสียงกีตาร์
พวกเราคงจะเคยเล่นดีดหนังยางกันมาบ้างนะครับ เพื่อน ๆ เคยสังเกตไหมครับเวลาเราดึงหนังยางให้ยืดออก แล้วถ้าเอามือไปดีดหนังยางจะสั่นและเกิดเสียง(แต่เบามาก) หรือแม้แต่เส้นด้ายหรือเชือกที่ถูกยึดปลายดึงจนตึงเมื่อถูกดีดก็จะสามารถเกิดเสียงได้เช่นกัน ทั้งหมดนั้นอาศัยหลักการของการเปลี่ยนแปลงพลังงานตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง คือเมื่อวัตถุเกิดการสั่นด้วยความถี่ค่าหนึ่ง ความถี่นั้นก็จะกลายเป็นคลื่นเสียงได้ ที่กล่าวมาเป็นหลักคร่าว ๆ แค่พอรู้ครับ
สำหรับกีตาร์ก็คือการนำสายลวดซึ่งมีขนาดแตกต่างกันมาขึงยึดหัวท้ายไว้ ด้วยความตึงต่าง ๆ กัน ซึ่งความตึง, ขนาดที่ต่างกัน รวมถึงความสั้น-ยาวของสายกีต้าร์นั่นเองจะมีผลต่อระดับเสียงที่เกิดขึ้นได้แก่
- สายที่ตึงกว่าจะให้เสียงที่มีระดับสูงกว่าสายที่หย่อนกว่า
- สายที่มีขนาดใหญ่กว่าจะให้เสียงที่มีระดับต่ำหรือทุ้มกว่าสายที่มีขนาดเล็กกว่า
- สายที่สั้นกว่าจะมีระดับเสียงที่สูงกว่าสายที่ยาวกว่า
ทั้ง 3 ข้อนั้นเป็นหลักเบื้องต้นในการทำงานของกีตาร์นั่นเอง ดังนั้นกีตาร์มีสาย 6 ขนาด จะให้ระดับเสียงต่างกัน 6 เสียง และมีเฟร็ตกีตาร์ตั้งแต่ประมาณ 20-24 อัน ซึ่งเป็นการจำกัดความสั้นยาวของสายกีตาร์ (เมื่อกดที่เฟร็ตสายจะถูกจำกัดความยาวเหลือจากเฟร็ตที่กด ไปถึง สะพานสาย เช่นเมื่อคุณกดช่อง 12 ของสายใดก็ได้ก็คือคุณได้ทำให้สายนั้นเหลือความยาวเพียงครึ่งเดียวเนื่องจากระยะระหว่างนัทจนถึงเฟร็ต 12 และระยะจาก เฟร็ต 12 ถึง สะพานสายนั้นมีระยะเท่ากัน จากผลดังกล่าวเมื่อคุณกดช่อง 12จะทำให้ได้เสียงกีตาร์สูงขึ้น 1 เท่า ของสายที่ไม่ได้กดช่อง 12 หรือทางดนตรีเรียกว่า 1 octave) ก็จะได้ความแตกต่างของเสียงในแต่ละเส้นอีก 20 - 24 เสียง ดังนั้นบนคอกีตาร์จะมีเสียงทั้งหมด 120 - 144 เสียง ไม่รวมเสียง ฮาร์โมนิคหรือเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งก็เพียงพอที่จะใหเคุณสร้างสรรค์ดนตรีได้ไม่มีสิ้นสุด
สำหรับความตึงหย่อนนั้นอาจเห็นเป็นรูปธรรมได้เช่นการดันสาย การตั้งสายเปิดแบบต่าง ๆ รวมถึงการเล่นคันโยก ล้วนแต่อาศัยความตึงหรือหย่อนของสายกีตาร์เพื่อสร้างเสียงระดับต่าง ๆ
สรุป หลักการของกีตาร์คือการสั่นของสายที่ทำให้เกิดเสียง และความแตกต่างของเสียงอันเนื่องมาจากขนาด ความสั้นยาว และความตึงของสายนั่นเอง
2.1 การจัดทางทางการเล่นกีตาร์แบบต่าง ๆ
คงจะไม่มีข้อกำหนดตายตัวอะไรในเรื่องของการจัดท่าทางการเล่นกีตารว่าต้องเล่นท่านั้นท่านี้ ซึ่งคุณอาจจะเห็นมาแล้วทั้งนั่ง ยืน วิ่ง กระโดด จนกระทั่งนอนเล่น (ท่าประหลาด ๆ มักพบกับดนตรีร็อคซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ถือว่าประหลาดแต่ว่ามันส์ต่างหาก) ดังนั้นผมคิดว่าขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ ความเหมาะสมและอารมณ์ต่างหาก แต่ผมจะแบ่งให้ทราบเพียงคร่าว ๆ เพื่อประดับความรู้เท่านั้นส่วนจะชอบแบบไหนแล้วแต่ถนัดครับ
1. การนั่งเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นกีตาร์คลาสสิก ฟลาเมนโก้ แจ๊ส หรือ ดนตรีประเภทอาคูสติกที่มีรายละเอียดในการเล่นมากจึงไม่สะดวกในการยืนเล่นโดยเฉพาะการเล่นกีตาร์คลาสสิกหรือฟลาเมนโก้จะมีท่าเฉพาะที่เป็นรูปแบบในการเล่นต่างหาก ซึ่งอาจจะวางกีตาร์บนหน้าขาขวาหรือซ้ายเช่นรูปแรกเป็นแบบคลาสสิก รูปที่ 2และ 4 เป็นแบบฟลาเมนโก้ เป็นต้น
2. การยืนเล่น บนเวทีแสดงทั่ว ๆ การยืนเล่นก็เป็นที่นิยมโดยเฉพาะเพลงประเภท pop rock หรือเพลง folk country เป็นต้น เนื่องจากมีอิสระในการเล่นมากกว่าดังรูปข้างล่างนี้
2.2 การใช้งานมือซ้าย
ในที่นี้จะหมายถึงผู้ที่ถนัดขวานะครับถ้าถนัดซ้ายก็จะตรงกันข้าม สำหรับหน้าที่หลักของมือซ้ายก็คือการจับคอร์ด การให้ระดับเสียงของโน๊ตดนตรี(ด้วยการกดนิ้วไปแต่ละเฟร็ต) ซึ่งเราจะใช้นิ้วทั้ง 5 เพื่อช่วยในการเล่นกีตาร์ เช่นการจับคอร์ด ลี๊ดเป็นต้น ...ถึงตรงนี้บางคนอาจสงสัยว่า เอ...ใช้นิ้วโป้งด้วยหรือ ใช้ยังไงล่ะ ...ก็ขอตอบว่าใช้ครับในบางกรณี โดยเฉพาะเพลงในแบบ ฟิงเกอร์ สไตล์(สไตล์นิ้วหรือเกานั่นแหล่ะครับ) หรือการจับคอร์ดบาร์(bar chord) หรือคอร์ดทาบ นิ้วโป้งมีประโยชน์มาก ซึ่งผมจะกล่าวรายละเอียดในขั้นต่อไป นอกจากใช้จับคอร์ด ใช้ลี๊ดแล้ว ยังรวมถึงการเล่นเทคนิคต่าง ๆ เช่นการดันสาย สไลด์ hammer on pull off หรือทำเสียงบอด(mute) เป็นต้น
การดูแลรักษามือซ้ายนั้นไม่ควรจะไว้เล็บให้ยาวเกินนิ้วออกมาเพราะจะเป็นอุปสรรคกับการกดนิ้วบนคอกีตาร์แน่นอน และยังจะทำให้เจ็บนิ้วอีกด้วย และพยายามอย่าไปกังวลกับหนังที่ปลายนิ้วที่มันจะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคุณเล่นกีตาร์บ่อย ๆ เดี่ยวมันก็ลอกไปเองครับ...
2.3 การใช้งานมือขวา
สำหรับมือขวาในการเล่นกีตาร์จะมีหน้าที่ทำให้เกิดเสียงไม่ว่าด้วยการดีดด้วยนิ้วหรือการเกา การดีดด้วยปิคล้วนแต่ควบคุมด้วยมือขวาทั้งนั้น โดยหน้าที่ของแต่ละนิ้วนั้นสรุปคร่าว ๆ ได้แก่ ถ้าจับปิคดีดจะจับด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้ง แต่ถ้าคุณเล่นเกาแล้ว นิ้วโป้งจะมีหน้าที่ควบคุมเสียงเบส(หมายถึง 3 เส้นบน)เป็นส่วนมาก และนิ้วชี้ กลาง และนิ้วนาง จะควบคุม 3 สาย ล่างเป็นหลัก ส่วนนิ้วก้อยนั้นถึงแม้ไม่มีส่วนในการดีด แต่บางคนก็มักใช้นิ้วก้อยยันกับตัวกีตาร์เวลาเกา นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์ในการเล่นกีตาร์ลี๊ดเช่นการใช้บังคับคันโยก การปรับปุ่ม tone หรือ volume เวลาลี๊ดกีตาร์ไฟฟ้า(เทคนิคดังกล่าวจะพูดในภายหลังนะครับ) นอกจากส่วนของนิ้วมือแล้ว สันมือก็ใช้ในการทำเสียงบอด(mute) ได้เช่นกันซึ่งจะได้กล่าวในเรื่องของการใช้เทคนิคมือขวาต่อไป
การดูแลโดยทั่วไปสำหรับมือขวานะครับคือไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไปโดยเฉพาะ นิ้วชี้ ,กลาง และนิ้วนางเพราะจะทำให้ดีดสายกีตาร์หรือแม้แต่จับปิคได้ไม่สะดวก แต่อาจไว้เล็บพอประมาณเพื่อใช้เกากีตาร์
สำหรับผู้ที่ถนัดซ้ายนั้นการเล่นก็จะกลับกับคนถนัดขวาคือ มือซ้ายจะใช้ดีด แต่มือขวาจะมาจับคอร์ดแทน ซึ่งกีตาร์สำหรับคนถนัดซ้ายนั้นก็มีขายนะครับ แต่ถ้ามันหายากนักผมว่าก็ใช้กีตาร์ของแบบถนัดขวา(แต่พยายามอย่าเลือกแบบคอเว้า หรือมีปิคการ์ดด้านล่างนะครับ) แล้วก็ใส่สายใหม่โดยกลับสายจากสายบนสุด ไปใส่ล่างสุดแทนก็ได้ แต่ก็มีนะครับนักกีตาร์มีซ้ายที่ใช้กีตาร์แบบเล่นมือขวามากลับพลิกแล้วเล่นเลยไม่ต้องเปลี่ยนสงเปลี่ยนสายให้เสียเวลา ดังนั้นสาย 1 จะมาอยู่บน สาย 6 จะไปอยู่ล่าง เช่น นักกีตาร์โฟล์คหญิงที่ชื่อ Elizabeth Cotten แต่ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเค้าเล่นยังไงเคยฟังแต่เพลงเค้าเก่งจริง ๆ ครับและก็ยังมีอีกเป็นนักกีตาร์บลูส์แต่ผมลืมชื่อไปแล้ว ดังนั้นคนที่ถนัดซ้ายไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรผมว่าเท่ซะอีก และนักกีตาร์มือซ้ายที่โด่งดังเช่น jimi hendrix สุดยอดคนหนึ่งของวงการกีตาร์และ kurt cobain แห่ง nirvana ผู้ล่วงลับ เป็นต้น
3. รู้จักคอร์ดเบื้องต้น คอร์ด คำนี้ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้วแต่คุณเข้าใจมันมากแค่ไหน คอร์ดคืออะไร หมายถึงอะไรเป็นต้น บางคนรู้จักเพียงแค่คอร์ดก็คือกดสายกีตาร์เส้นต่าง ๆ ที่ช่องต่าง ๆ ตามรูปบอกแค่นั้น เอาล่ะครับเราจะมารู้จักคำว่า "คอร์ด" กันมากขึ้น
คอร์ด คือกลุ่มของตัวโน๊ตตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป ซึ่งถ้าเราจะถามว่ามีคอร์ดกีตาร์ทั้งหมดกี่คอร์ดในโลกนี้ คงจะไม่มีใครตอบได้เนื่องจากเราสามารถสร้างคอร์ดได้มากมายเหลือเกินแล้วแต่ผู้ประพันธ์แต่ละคน แต่เราก็สามารถจำแนกคอร์ดให้เป็นประเภทต่าง ๆ ที่สำคัญและพบบ่อย ๆ ได้ เช่น คอร์ดเมเจอร์(major), คอร์ดไมเนอร์(minor) และคอร์ดเซเว่น(7) เป็นต้น คราวนี้เราจะมารู้จักการเรียกชื่อคอร์ดแต่ละประเภท
คอร์ด |
การเรียกชื่อ(สากล) |
การเรียกชื่อ(ชาวบ้าน) |
|
% | mojor | เรียกแต่ชื่อคอร์ด (เช่นคอร์ดซีเมเจอร์ เรียกคอร์ดซี) | |
%m | minor | ไมเนอร์ | |
%7 | seventh | เซเว่น (เจ็ด) | |
%m7 | minor seventh | ไมเนอร์ เซเว่น (หรือไมเนอร์ เจ็ด) | |
%6 | sixth | ซิก (หก) | |
%m6 | minor sixth | ไมเนอร์ ซิก (หรือไมเนอร์ หก) | |
%dim | diminished | ดิม | |
%+ | augmented | ออกเมนเต็ด (บวก) | |
%7sus4 | seventh suspension four | เซเว่น ซัส โฟ | |
%sus | suspension | ซัส | |
%7+5 | seventh augmented fifth | เซเว่น ออกเมนเต็ด ไฟว์ | |
%7-5 | seventh flat five | เซเว่น แฟล็ท ไฟว์ | |
%7-9 | seventh flat nine | เซเว่น แฟล็ท ไนน์ | |
%maj7 | mojor seventh | เมเจอร์ เซเว่น | |
%m7-5 | minor seventh flat five | ไมเอนร์ เซเว่น แฟล็ท ไฟว์ | |
%9 | ninth | ไนน์ (เก้า) | |
%m9 | minor ninth | ไมเนอร์ ไนน์ (ไมเนอร์ เก้า) | |
%9+5 | ninth augmented fifth | ไนน์ อ๊อกเมนเต็ด ฟิฟท์ | |
%9-5 | ninth flat five | ไนน์ แฟล็ท ไฟว์ | |
%maj9 | major ninth | เมเจอร์ ไนน์ | |
%11 | eleventh | อีเลฟเว่น (สิบเอ็ด) | |
%11+ | eleventh augmented | อีเลฟเว่น อ๊อกเมนเต็ด (สิบเอ็ด บวก) | |
%13 | thirteenth | เธอทีน (สิบสาม) | |
%13b9 | thirteenth flat ninth | เธอทีน แฟล็ท ไนน์ | |
% |
7 |
seventh sixth | เซเว่น ซิก |
6 |
|||
% |
9 |
ninth sixth | ไนน์ ซิก |
6 |
|||
%+7 | augmented seventh | อ๊อกเมนเต็ด เซเว่น (บวก เจ็ด) | |
%dim7 | diminished seventh | ดิม เซเว่น (ดิม เจ็ด) | |
%m+7 | minor augmented seventh | ไมเนอร์ อ็อกเมนเต็ด เซเว่น | |
%13sus4 | thirteenth suspension four | เธอทีน ซัส โฟร์ (สิบสาม ซัส โฟ) | |
%m (add 9) | minor add ninth | ไมเนอร์ แอ๊ด ไนน์ | |
%(add 9) | add ninth | แอ๊ด ไนน์ | |
%9sus | ninth suspension | ไนน์ ซัส | |
% |
4 | fourth ninth | โฟร์ ไนน์ |
9 | |||
%+11 | augmented eleventh | อ็อกเมนเต็ด สิบเอ็ด | |
%7+9 | seventh augmented ninth | เซเว่น อ็อกเมนเต็ด ไนน ์ | |
%+4 | augmented fourth | อ็อกเมนเต็ด โฟร์ (บวก สี่) |
เครื่องหมาย % หมายถึงสัญญลักษณ์ต่าง คือ C, D, E, F, G, A และ B ซึ่งก็คือชื่อของโน็ตต่าง ๆ นั่นเอง เวลาเรียกก็เรียกชื่อโน็ตตามด้วยชื่อคอร์ด เช่น %m7 แทนด้วย Am7 อ่านว่า เอ ไมเนอร์ เซเว่น หรือ เอ ไมเนอร์ เจ็ด ซึ่งตัวเลขนี้บางทีจะอ่านเป็นภาษาไทยก็ได้ แต่ผมแนะนำว่าควรอ่านให้เป็นสากลจะดีกว่า จะได้คุ้นเคย
สำหรับตอนนี้เรารู้จักคอร์ดแค่นี้ก่อนนะครับ ซึ่งโครงสร้างและรายละเอียดของคอร์ดผมจะกล่าวในส่วนต่อไป ตอนนี้เรามาดูในเรื่องของการจับคอร์ดและการวางนิ้วกันมั่งนะครับ ไม่มีกฎตายตัวที่บอกว่าต้องวางนิ้วแบบนั้นแบบนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือการวางนิ้วให้ตรงตำแหน่งของโน๊ต และไม่ทำให้เกิดเสียงบอด สิ่งที่ผมอยากแนะนำสำหรับการฝึกจับคอร์ดก็คือ
การจับคอร์ดกีตาร์ ใช้มือที่จะจับคอร์ด กำหลวม ๆ ที่คอกีตาร์ในท่าที่ถนัด ใช้นิ้วโป้งเป็นนิ้วประคอง สำหรับบางคน(โดยเฉพาะคนที่เล่นกีตาร์คลาสสิก) อาจจะจับคอกีตาร์โดยใช้นิ้วโป้งยันกับคอกีตาร์(เช่นในรูป)แทนที่จะกำรอบคอ ให้นิ้วทั้งสี่โก่งและตั้งฉากกับฟิงเกอร์บอร์ดมากที่สุด (อาจจะเข้าใจยากนิดนึงลองฝึกดู) เพื่อไม่ให้นิ้วไปโดนสายอื่นทำให้เสียงบอด
ส่วนที่กดสายกีตาร์คือส่วนปลายนิ้วทั้งสี่ และกดลงบนสายที่ระหว่างเฟร็ตหรือกลางช่อง หรือค่อนไปทางเฟร็ตตัวล่าง โดยที่นิ้วโป้งจะช่วยประคอง และช่วยเพิ่มแรงกดเวลาจับคอร์ดทาบ
การทาบ (bar) ก็คือการใช้นิ้วใดนิ้วหนึ่ง (ส่วนมากจะเป็นนิ้วชี้) ทาบสายกีตาร์ตั้งแต่สองสายขึ้นไป เราจะคุ้นเคยกับคำว่าคอร์ดทาบ (bar chord) เช่นคอร์ด F Bb เป็นต้น ซึ่งคอร์ดทาบนี้ค่อนข้างเป็นสิ่งน่ากลัวในความคิดของมือใหม่ เนื่องจากมักจะบอด จับยาก เมื่อยและเจ็บนิ้วด้วย แต่ไม่ต้องกลัวครับลองใช้นิ้วโป้งของคุณช่วยกดที่หลังคอกีตาร์ตรงกลางคอจะทำให้คุณมีแรงกดมากขึ้นครับ หรืออีกวิธีคือการใช้นิ้วอื่น(ที่ว่าง ไม่ได้กดเส้นใด ๆ ) มาช่วยกดทับอีกชั้นหนึ่งก็ช่วยได้มากครับ
4. การดีดกีตาร์หรือตีคอร์ดเบื้องต้น ตรงนี้มีความสำคัญมากสำหรับมือใหม่ เพื่อเป็นการฝึกให้คุ้นเคยกับจังหวะดนตรี การเปลี่ยนคอร์ดที่สัมพันธ์กับจังหวะดนตรีและการตีคอร์ด ลักษณะของการตีคอร์ดนั้นเราอาจจะเข้าใจว่าคือการใช้ปิคดีดสายกีตาร์ ขึ้น ๆ ลง ๆ เท่านั้น แต่จริง ๆ มันมีความหมายมากกว่านั้น เช่นการดีดต้องดีดสายไหนบ้าง ดีดขึ้นกี่ทีลงกี่ที และเมื่ไรจะเปลี่ยนคอร์ด ดีดแบบเสียงบอดทำยังไงใช้เมื่อไร และปัญหาที่ทุกคนมักจะคิดถึงคือดีดยังไงถึงจะเพราะ ก่อนอื่นเราไปรู้จักอุปกรณ์สำคัญในการตีคอร์ด นั่นคือปิคกีตาร์
ตอนนี้เรามารู้จักการจับปิคกันก่อนนะครับ ซึ่งก็ไม่ได้มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจับอย่างไรแต่ท่าที่สำคัญคือ ต้องจับให้มั่นคง และสะดวกในการดีด และถนัดกับตัวคนเล่นเอง แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นแบบที่นิยมกันก็คือการวางปิคลงบนด้านข้างปลายนิ้วชี้ แล้วใช้นิ้วโป้งกดทับ โดยทำมือที่จะจับปิคดังรูปที่ 1 และ 2 ส่วนรูปที่ 3 คือรูปที่จับปิคแล้ว ลองปรับท่าจับให้มั่นคงแข็งแรงและถนัดที่สุดเพื่อเวลาดีดปิคจะได้ไม่หลุดจากมือ
คราวนี้ลองทดสอบดูครับ ลองจับปิคให้มั่นคง ลองดีดกีตาร์จากสาย 6 ไปหาสาย 1 (สายใหญ่->เล็ก) จากนั้นดีดย้อนขึ้นจากสาย 1 ไปสาย 6 สังเกตการดีดให้จังหวะการดีดแต่ละเส้นนั้นให้เท่ากัน คือเสียงเรียบสม่ำเสมอ ในขั้นแรกนี้ลองฝึกให้จังหวะการดีดของคุณสม่ำเสมอก่อนทั้งขึ้และลง ใจเย็น ๆ นะครับอย่าเพิ่งใจร้อนเลยครับ เราเริ่มจากแบบเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ก่อนต่อไปเราถึงจะอ่านหนังสือออกจริงมั๊ยครับ!!!! ลองมาดูท่าทางการดีดที่ถูกต้องนะครับ
เอาล่ะครับตอนนี้ผมถือว่าเพื่อน ๆ คุ้นเคยกับการจับปิคดีดสายกีตาร์แล้วนะครับ ซึ่งหมายถึงคุณสามารถดีดได้อย่างเป็นธรรมชาติ จังหวะสม่ำเสมอ คราวนี้เราจะมาลองดีดกับคอร์ดกีตาร์จริง ๆ ดีกว่า ในขั้นนี้ผมขอแนะนำคอร์ดง่าย ๆ และใช้กันมากเพื่อให้คุณฝึกหัดกันก่อนครับได้แก่ คอร์ด C, Am, Dm, G7 หรือ คอร์ดซี, เอ-ไมเนอร์, ดี-ไมเนอร์ และ จี-เซเว่น เรามาดูโครงสร้างการจับแต่ละคอร์ดกันครับ
ผมขออธิบายนิดนึงนะครับสำหรับการอ่านไดอะแกรมคอร์ด เส้นในแนวตั้ง 6 เส้นหมายถึง สายกีตาร์ 6 สายนั่นเองโดยสาย 6 จะอยู่ทางซ้ายมือสุด และสาย 1 อยู่ทางขวามือสุด ส่วนเส้นแนวนอน หมายถึงเฟร็ตต่าง ๆ ถ้าไม่มีตัวเลขกำหนดจะหมายถึงเริ่มจากเฟร็ตที่ 1 เสมอ จุดดำนั้นคือจุดที่ต้องกดสายและตัวเลขที่อยู่ในจุดดำหมายถึงนิ้วเช่น 1= นิ้วชี้ (ดูสัญลักษณ์มือซ้ายด้านบน) ก็คือใช้นิ้วชี้กด ส่วนเครื่องหมาย X หมายถึงไม่ต้องเล่นสายนั้นเวลาดีด (แล้วจะรู้ว่าทำไมถึงไม่เล่นสายดังกล่าวในภายหลัง) และ O คือ สายเปิดสามารถเล่นได้เวลาดีด
คราวนี้เพื่อน ๆ ลองจับคอร์ดต่าง ๆ ดูครับ ลองฝึกการวางนิ้วแบบที่ได้บอกไปแล้วนะครับลองเปลี่ยนคอร์ดดูคร่าว ๆ เมื่อคุณคุ้นเคยกับการจับคอร์พอสมควรแล้ว เราลองมาใช้ปิคดีดดูทีละสาย เพื่อเช็คว่ามีสายไหนบอดบ้าง โดยใช้ปิคดีดลงทีละสายเช่น คอร์ด C ลองดีดจากสาย 5 -> 4 -> 3 -> 2 -> 1 แล้วสังเกตฟังดูว่าสายใดบอดบ้าง เสียงบอกคือเสียงที่วเลาดีดแล้วไม่ใส ดังแป๊ก ๆ เนื่องจากมีนิ้วใดนิ้วหนึ่งไปโดน คุณลองดูว่ามีส่วนใดของนิ้วอื่นที่ไม่ได้กดเส้นดังกล่าวไปแตะโดนหรือไม่ แล้วพยายามจัดรูปนิ้วใหม่ ไม่ให้ไปโดนสายดังกล่าว
ต่อไปลองดีดเป็นจังหวะ ๆ แล้วเปลี่ยนคอร์ดนะครับโดยการดีดลง 1 ทีนับ 1 เราฝึกโดยดีดลง 4 ครั้งแล้วเปลี่ยนคอร์ดนะครับเริ่มกันเลย
C Am Dm G7
1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4
นับจังหวะการดีดดังนี้ (ดูจากรูปลูกศรลงคือการดีดลง 1 ครั้ง) จับคอร์ด C ดีดลงนับ 1 ดีดลงนับ 2 ดีดลงนับ 3 ดีดลงนับ 4 เปลี่ยนคอร์ดเป็น Am แล้วดีดเช่นเดิมอีก 4 จังหวะ จึงเปลี่ยนเป็นคอร์ด Dm ดีดอีกสี่จังหวะ เปลี่ยนเป็นคอร์ด G7 ดีดอีก 4 จังหวะแล้วเปลี่ยนกับไปเป็นคอร์ด C .....ทำเช่นนี้ต่อไป
ช่วงแรกขอให้เพื่อน ๆ ฝึกเท่านี้ก่อนที่จะไปฝึกอย่างอื่น อย่าลืมนะครับสำคัญมากคุณควรจะฝึกการดีดให้เป็นจังหวะจะโคน เปลี่ยนคอร์ดให้สัมพันธ์กับจังหวะและการดีดกีตาร์ โดยคุณอาจจะลองเปลี่ยนจากการดีด 4 จังหวะมาเป็น 3 จังหวะแล้วเปลี่ยนคอร์ด 2 จังหวะแล้วเปลี่ยนคอร์ด หรือ 1 จังหวะแล้วเปลี่ยนคอร์ด และเพิ่มความเร็วในการดีดให้เร็วมากขึ้น จนคุณรู้สึกว่าคุ้นเคยกับการดีดและการเปลี่ยนคอร์ด อย่าใจร้อนนะครับ ตอนผมฝึกใหม่ ๆ ผมหัดแค่นี้แหละครับหัดอยู่หลายวันกว่าจะคล่องจากนั้นจึงค่อยไปหาเพลงที่มี 4 คอร์ดดังกล่าวมาลองเล่นดูแล้วจึงเริ่มศึกษาคอร์ดใหม่ ๆ และเพลงใหม่ ๆ จะเริ่มเรียนรู้มากขึ้น ดังนั้นใจเย็น ๆ ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า
5. สไตล์รูปแบบ์ต่าง ๆ ของการเล่นกีตาร์ ต่อไปผมจะกล่าวถึงสไตล์การเล่นกีตาร์ในแบบต่าง ๆ เท่าที่ผมพอจะมีความรู้นะครับ สำหรับตัวผมเองแล้วผมชอบกีตาร์ในทุก ๆ สไตล์ฟังแล้วทำให้รู้จักกีตาร์ในแบบต่าง ๆ มากขึ้นโดยที่เราอาจจะรู้จักกีตาร์ในแบบต่าง ๆ เช่น แนวร็อค(รู้สึกเป็นที่สนใจในหมู่วัยรุ่นเพราะมันสะใจดี) แนวคลาสสิก , บลูส์ แจ๊ส ,โฟล์ค เป็นต้น
1. แนวคลาสสิก ถือเป็นแนวที่เก่าแก่ที่สุดของกีตาร์มัเล่นในหมู่ชนชั้นสูง(หมายถึงสมัยก่อน)มีรูปแบบการเล่นที่สวยงาม ท่วงทำนองไพเราะมากสามารถเล่นได้ทั้งริทึ่ม การเล่นโซโล การเล่นประสานได้ในตัวเดียว เพลงคลาสสิกจะถูกแต่งขึ้นอย่างปราณีต ดังนั้นจึงค่อนข้างจะยากสำหรับผู้ที่คิดจะหัดเอง เนื่องจากต้องสามารถอ่านและเข้าใจโน็ตดนตรีเป็นอย่างดี รวมถึงการอ่านจังหวะและสัญลักษณ์ทางดนตรีต่าง ๆ และที่สำคัญราคาในการเรียนค่อนข้างสูง ทำให้คนทั่ว ๆ ไปอาจไม่สามารถจะไปเรียนได้ (ผมก็อยู่ในกลุ่มนั้น)
ยังมีอีกสไตล์ที่ผมขอกล่าวรวมอยู่ในสไตล์คลาสสิก คือ สไตล์ฟลาเมนโก้เพราะค่อนข้างใกล้เคียงกันต่างกันที่สไตล์การเล่น ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิมที่มีกำเนิดจากในสเปนจะมีรูปแบบการเล่นสำเนียงเฉพาะตัวเช่นการดีดแบบ rasgueado (จะอธิบายในส่วนของการเล่นเทคนิคอีกที) ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นมากสำหรับฟลาเมนโก้สไตล์ ซึ่งสไตล์นี้มีจังหวะค่อนข้างจะสนุกสนาน และใช้ประกอบกับการเต้นรำอย่างที่เราเคยเห็นใน TV เกี่ยวกับสเปน ตัวอย่างเช่น paco de lucia เป็นต้น
2. แนวโฟล์ค คันทรี เกิดจากการเผยแพร่การเล่นกีตาร์ไปสู่คนผิวดำที่เป็นทาส และพัฒนารูปแบบไปเรื่อย ๆ ในหมู่ชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ซึ่งมักจะเป็นกสิกร หรือ ทำฟาร์ม และเล่นในยามพักผ่อนจากการทำงานเพลงจึงมีลักษณะที่เรียบง่ายสบาย ๆ จังหวะสนุกสนานเล่าถึงวิถีชีวิตชาวบ้านอาจจะแบ่งได้เป็น
- บลูกล๊าสสไตล์ เป็นดนตรีพื้นบ้านมักมีการเล่นร่วมกับ แบนโจ ไวโอลิน ใช้กีตาร์ตัวนึงเป็นริทึ่ม อีกตัวใช้โซโล จังหวะสนุกสนาน เป็นเพลงบรรเลง หรือมีคนร้องด้วย
- ฟิงเกอร์สไตล์ คือการเกาหรือเล่นกีตาร์ด้วยนิ้วนั่นเองอาจจะเล่นตัวเดียวหรือ 2 ตัวประสานกัน มีความละเอียดในการเล่นมากพอสมควรเล่นค่อนข้างยาก ต่างกับบลูกล๊าสที่มักใช้ปิคมากกว่าเช่น chet atkins ,doc watson เป็นต้น
- โฟล์คสไตล์ เป็นดนตรีพื้นบ้านที่มีการเล่นที่อาจจะเป็นการเกากีตาร์ การใช้ปิคดีด การเล่นประสานกันตั้งแต่ 2ตัวขึ้นไป มีการร้องประสานเสียงกันส่วนมากจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันทั่วไป เช่น peter paul & mary
จริงแล้วทั้ง หมดรวมเรียกว่าเป็นสไตล์โฟล์ค ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจในความแตกต่างกันมากนักเท่าที่ผมได้รู้มานั้น ส่วนใหญ่บลูกล๊าสจะเป็นเพลงบรรเลง และฟิงเกอร์สไตล์ด้วยเช่นกัน แต่บางครั้งก็มีการร้องประกอบด้วย
3. บลูส์สไตล์ กำเนิดจากชนผิวดำที่เป็นทาสได้รับเอาเครื่องดนตรีชนิดนี้มากและพัฒนาเข้ากับดนตรีแบบของเขา ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคแรกจะเป็นเพลงที่เศร้าเนื่องจากบรรยายถึงความเหนื่อยยากที่เป็นทาส และดนตรีบลูส์นี้เองเป็นพื้นฐานที่สำคัญของดนตรีอีกหลายประเภทเหลือเกินตั้งแต่ แจ๊ส โฟล์ค รวมไปถึงร็อคอีกด้วย สามารถแบ่งคร่าว ๆ เป็น
- อาคูสติกบลูส์ คือใช้กีตาร์โปร่งเล่นนั่นเองซึ่งในยุคแรกก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ จะมีการผสมผสานระหว่างการใช้ปิค และนิ้วร่วมกันในการดีด นอกจากนี้อาจมีการใช้สไลด์เล่นอีกด้วย เช่นในชุด unplug ของ eric clapton
- อีเล็คทริกบลูส์ เป็นยุคหลังที่มีกีตาร์ไฟฟ้าแล้ว จึงมีการนำดนตรีบลูส์มาเล่นกับกีตาร์ไฟฟ้ามีการโซโลที่ไพเราะและหนักแน่น เช่นแบบ BB. King หรือ Robert cray
4. แจ๊ส เป็นอีกสไตล์ที่พัฒนามาจากบลูส์ซึ่งรายละเอียดในการเล่นจะยากขึ้นไปกว่าดนตรีบลูส์ และมีทั้งแบบอาคูสติกและิเล็คทริกเช่นกัน เช่น Larry Carlton เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสไตล์อื่นที่มีลักษณะของแจ๊สอยู่ได้แก่
- Bossanova ซึ่งที่ดังมากได้แก่ Antonio Calos Jobim กับเพลง Girl from ipanema เป็นต้น
- Samba หรือ สไตล์ประจำของบราซิล ซึงมีโครงสร้างคล้ายกับดนตรีแจ๊สเช่นกัน
5. ป๊อปสไตล์ ก็คือสไตล์ที่เล่นกับเพลงป๊อปหรือเพลงทั่ว ๆ ไป
6. ร็อคสไตล์ มีการพัฒนามาจากบลูส์เช่นกันมีความหนักแน่นในจังหวะและท่วงทำนอง และมีการเล่นที่น่าสนใจทั้งการโซโล ที่มีลูกเล่นเทคนิคมากมาย การปรับแต่งเสียงของกีตาร์ การใช้เอฟเฟ็คต่าง ๆ จึงเป็นที่นิยมและคลั่งไคล้ของกลุ่มวัยรุ่น อยากเก่งเหมือนนักกีตาร์ร็อคดัง ๆ ซึ่งร็อคอาจแบ่งไดเป็น
- บลูส์ร็อค เป็นการผสมระหว่างเพลงบลูส์กับร็อคเช่นแบบ Gary Moore หรือ Stevie ray Vaughan เป็นต้น
- โฟล์คร็อค มีการผสมผสานกันของเพลงโฟล์คกับร็อค เช่น Eagles เป็นต้น
- นีโอคลาสสิก เป็นการนำเอารูปแบบของดนตรีคลาสสิกมาผสมผสานกับดนตรีร็อค ซึ่งตอนนี้เป็นที่สนใจอย่างมาก ผู้ที่บุกเบิกทางนี้ได้แก่ Randy Rhoad ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วแต่ปัจจุบันคุณจะรู้จัก นีโอคลาสสิก กับ Yngwie Malmsteen หรือ Vinnie Moore เป็นต้น
- เฮฟวี่เมทัล พัฒนาไปจากดนตรีร็อคมีความหนักหน่วงขึ้นเช่น Metallica , Megadeath เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีแนว Progressive rock เช่นแบบของ Dream thearter หรือแนว Alternative ที่มี Nirvana เป็นผู้สร้างชื่อเสียงเป็นต้น หรือแนวอื่น ๆ อีกเช่น แนว Funk , reggae หรือแนว death metal เป็นต้น
ที่ผมได้กล่าวถึงสไตล์การเล่นแบบต่าง ๆ ในตอนนี้เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ลองนึกดูซิว่าเราชอบในแบบไหนหรือสนใจสไตล์ไหนเป็นพิเศษ แต่แน่นอนครับไม่ว่าคุณจะสนใจสไตล์ไหนก็ตามเราก็ต้องรู้พื้นฐานของมันก่อนทั้งนั้นซึ่งเมื่อคุณรู้พื้นฐานแล้วคุณสามารถที่จะไปศึกษาหาความรู้ต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เช่นเดียวกับเมื่อคุณถีบจักรยานเป็นก็ไม่ยากนักที่จะหัดมอเตอร์ไซด์ หรือขับรถเกียร์ธรรมดาเป็น ก็ขับเกียร์ออโต้ได้ไม่ยากเย็นนักหรอกครับ
6. แบบฝึกหัด ในส่วนนี้เพื่อน ๆ จะได้ลองทดสอบการใช้มือซ้ายและมือขวา การดีดกีตาร์ ในแบบฝึกหัดต่าง ๆ ลองฝึกดูให้รู้สึกชินกับจังหวะการดีดการเปลี่ยนคอร์ดนะครับ
แบบฝึกหัดที่ 1 ตรวจสอบว่าเสียงบอดหรือไม่ โดยใช้ปิคดีดลงทีละสายแล้วจึงเปลี่ยนคอร์ด สำหรับ diagram ข้างล่างนี้เรียกว่าระบบ tablature ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในภายหลัง ตอนนี้ขอให้รู้เพียงคร่าว ๆ คือเส้นทั้ง 6 เส้นแทนสายกีตาร์ 6 สาย (สาย 6 หรือสายใหญ่สูงอยู่เส้นล่างสุด ส่วนสาย 1 หรือสายเล็กสุดอยู่เส้นบนสุด) ส่วนตัวเลขที่ทับอยู่บนสายแต่ละสายคือเลขบอกช่องบนคอกีตาร์ที่คุณต้องกด สังเกตจากห้องแรก กดสาย 5 ช่อง 3 สาย 4 ช่อง 2 สาย 3 เป็น 0 คือ ไม่ต้องกด สาย 2 กดช่อง 1 สาย 1 เป็น 0 ไม่ต้องกด ก็จะได้รูปคอร์ด C นั่นเอง ส่วนการดีดให้ดีดเฉพาะเส้นที่มีตัวเลขกำกับ
แบบฝึกหัดที่ 2 ดีดลงคอร์ดละ 4 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
ความหมาย : ลูกศรชี้ขึ้นหมายถึงตีคอร์ดลง คือ ดีดผ่านจากสาย 6 ไปหาสาย 1
ลูกศรชี้ลงหมายถึงตีคอร์ดขึ้น คือ ดีดผ่านจากสาย 1 ไปหาสาย 6
แบบฝึกหัดที่ 3 ดีดลงคอร์ดละ 3 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
แบบฝึกหัดที่ 4 ดีดลงคอร์ดละ 2 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
แบบฝึกหัดที่ 5 ดีดลงคอร์ดละ 1 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
แบบฝึกหัดที่ 6 ดีดสลับขึ้นลงคอร์ดละ 4 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
แบบฝึกหัดที่ 7 ดีดสลับขึ้นลงคอร์ดละ 2 จังหวะจึงเปลี่ยนคอร์ด
แบบฝึกหัดทั้งหมดนี้อยากให้เพื่อนที่เพิ่งเริ่มหัดได้ลองฝึกทุกแบบฝึกหัดนะครับ ในแต่ละแบบฝึกหัดเมื่อดีดครบ 4 คอร์ดก็กลับไปเริ่มใหม่วนอยู่แค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งเบื่อหรือรำคาญนะครับ คุณต้องถามตัวเองดูว่าดีดตามแบบฝึกหัดนั้นคล่องหรือยังทั้งการเปลี่ยนคอร์ดจับคอร์ด จังหวะการดีดแต่ละสาย ความเคลียร์ของเสียงที่ได้ยังบอดอยู่หรือไม่ ถ้าคุณรู้สึกว่าเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยเริ่มหัดในสิ่งที่ยากขึ้นต่อไปนะครับ